สลด! อดีตผู้จัดการแบงก์ดับปริศนาคาบ้านพักในเมืองตรัง หลังเป็นอัมพฤกษ์มานานถึง 6 ปี

 สลด! อดีตผู้จัดการแบงก์เมืองภูเก็ตดับปริศนาคาบ้านพักใน อ.เมืองตรัง สภาพนอนหงาย เปลือยกาย และร่างกายซูบผอม หลังเป็นอัมพฤกษ์มานานถึง 6 ปีแล้ว และอยู่ในบ้านคนเดียว จนท.นำศพส่งผ่าพิสูจน์หาสาเหตุ

พ.ต.ท.จรูญ สังขารา พนักงานสอบสวน สภ.เมืองตรัง รับแจ้งเหตุมีคนเสียชีวิตภายในบ้านเลขที่ 133/102 ถนนรัษฎา ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง หลังรับแจ้งได้ประสานแพทย์เวรโรงพยาบาลตรัง เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิกุศลสถานตรัง แล้วจึงรุดไปยังที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านปูน 2 ชั้น โดยมี นางวิลัยลักษณ์ หล่อสุพรรณพร อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นภรรยาผู้ตาย ได้นำเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ภายในบ้านชั้น 1 พบศพชายทราบชื่อคือ นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ อินทองแก้ว อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่หลังดังกล่าว สภาพนอนหงาย เปลือยกาย มีผ้าห่มคลุมช่วงขา และร่างกายซูบผอม เนื่องจากมีโรคประจำตัวเป็นอัมพฤกษ์ และอยู่บ้านคนเดียว ส่วนบริเวณบนโต๊ะภายในบ้านพบมีข้าวซอยวางตั้งอยู่ 2 ชุด พร้อมนม น้ำ และยา

จากการสอบถาม นางวิลัยลักษณ์ ซึ่งเป็นภรรยาผู้ตายทราบว่า ตนเองกับผู้ตายได้เลิกรากันมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่ได้หย่า และอยู่บ้านหลังเดียวกัน ตนเองจะอาศัยอยู่ชั้น 2 ของบ้านกับสุนัข 1 ตัว ส่วนผู้ตายอาศัยอยู่ชั้นล่าง ซึ่งนายสมบูรณ์ สามี เคยทำงานเป็นอดีตผู้จัดการธนาคารทหารไทย ที่ จ.ภูเก็ต และได้ลาออกมา หลังจากนั้นได้มีปัญหาสุขภาพจนเป็นอัมพฤกษ์มาประมาณ 6 ปี และอยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน จนกระทั่งตนออกจากบ้านไปอยู่บ้านแม่ 10 วัน และเมื่อกลับมาที่บ้านก็พบว่านายสมบูรณ์ นอนแน่นิ่งเสียชีวิตแล้ว จึงได้แจ้งทางตำรวจ และกู้ภัยให้เข้ามาตรวจสอบดังกล่าว

ส่วนทางด้านเพื่อนบ้านบอกว่า เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ช่วงค่ำ ได้นำน้ำดื่มไปให้นายสมบูรณ์ ผู้ตาย และมีผู้ดูแลเข้ามาพูดคุยอยู่ในช่วงเวลานั้น กระทั่งมาทราบอีกทีว่า นายสมบูรณ์ เสียชีวิตแล้ว อย่างไรก็ตาม จากการชันสูตรพลิกศพของแพทย์เวรโรงพยาบาลตรัง เบื้องต้น ไม่มีร่องรอยการทำร้ายแต่อย่างใด และเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 1 วัน แต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้ เนื่องจากผู้ตายอยู่บ้านคนเดียว และสภาพศพมีลักษณะผอมแห้ง คล้ายกับว่าไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน เจ้าหน้าที่จึงเตรียมส่งศพไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เพื่อผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการตายอีกครั้ง ส่วนนางวิลัยลักษณ์ ภรรยา เบื้องต้นไม่ติดใจในสาเหตุการตาย




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ผู้จัดการออนไลน์

 

แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า