ศาลฎีกาพิพากษากลับยกฟ้อง“แต๋ม หมื่นบาล”คดีฆ่า ด.ญ. 11 ปีซุกท่อระบายน้ำ ชี้โจทก์ไร้ประจักษ์พยาน-ดีเอ็นเอ


ศาลฎีกาพิพากษากลับ ยกฟ้อง “แต๋ม หมื่นบาล”จำเลยคดีฆ่า “น้องเพลง” เด็กหญิงวัย 11 ปีทิ้งศพในท่อระบายน้ำ ใน จ.ตรัง เมื่ปี 57 ระบุไม่มีดีเอ็นเอจำเลยในที่เกิดเหตุและโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์ แม้ว่าก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุกตลอดชีวิต ด้านจำเลยโวยตำรวจทำให้เสียหาย ต้องอยู่ในคุก 5 ปี ลูกต้องออกจากโรงเรียน ครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งที่แสดงความบริสุทธิ์ใจและปฏิเสธข้อกล่าวหามาตั้งแต่ต้น
วันนี้(20 มี.ค.) เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดตรังนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีนายประถมพงษ์ หรือ แต๋ม หมื่นบาล ซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีฆ่า ด.ญ.เกตุมาตุ รำนา (น้องเพลง) อายุ 11 ปี ในฐานความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา และฐานซ่อนเร้นย้ายหรือทำลายศพ โดยมีพนักงานอัยการจังหวัดตรังเป็นโจทก์ และนางพนมวรรณ รำนา แม่ของเด็กหญิงเป็นโจทก์ร่วม ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 30 นาที โดยศาลฏีกาได้พิพากษากลับ ยกฟ้องจำเลยใน 2 ฐานความผิดดังกล่าว และยกคำขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 840,000 บาท และยกค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาล
หลังรับฟังคำพิพากษาแล้วเสร็จ นายสุวัฒน์ และนางพนมวรรณ รำนา พ่อและแม่ของน้องเพลงได้เดินทางกลับทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว บอกแต่เพียงว่า พร้อมยอมรับคำตัดสินของศาล ถือได้ว่า 5 ปี ที่ผ่านมาก็พอใจแล้ว
ด.ญ.เกตุมาตุ รำนา (น้องเพลง)
ด.ญ.เกตุมาตุ รำนา (น้องเพลง)

สำหรับคดีดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2557 เมื่อน้องเพลงได้หายออกไปจากบ้าน ครอบครัวและญาติๆ ช่วยกันตามหาแต่ไม่พบ จนกระทั่งวันที่ 12 พ.ค.2557 มีคนพบศพถูกฆ่าซุกซ่อนไว้ในท่อระบายน้ำ บนถนนสายวัดพระงาม-บ้านควน ม.7 ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จ.ตรัง ห่างจากบ้านน้องเพลงประมาณ 1 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนหาพยานหลักฐานจนได้ขอหมายศาลจับกุมนายประถมพงษ์ หมื่นบาล หรือ แต๋ม อายุ 37 ปี เพื่อนบ้านของน้องเพลง โดยแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพ เพื่อการปิดบังการเกิด การตาย หรือเหตุแห่งการตาย โดยในชั้นจับกุมนายประถมพงษ์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ตำรวจได้ทำสำนวนส่งอัยการและส่งฟ้องต่อศาล
ต่อมาวันที่ 16 ธ.ค.58 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา โดยพิเคราะห์จากพยานหลักฐานเชื่อว่านายประถมพงษ์เป็นผู้กระทำผิดจริงจึงพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และจำคุกตลอดชีวิต ในข้อหาปิดบังอำพรางซ่อนเร้นศพ พร้อมให้จำเลยชดเชยค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วม จำนวน 840,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 28 ก.ย.59 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาแก้ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 840,000 บาท ฝ่ายจำเลยยื่นฎีกาสู้คดี ขณะที่ฝ่ายโจทก์ร่วมยื่นฎีกาเช่นกัน เพื่อขอให้ลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น คือประหารชีวิต และศาลฏีกาได้นัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ ซึ่งปรากฎว่าศาลฏีกาได้สั่งยกฟ้องดังกล่าว
นายวิมล วงศ์สว่างศิริ อายุ 70 ปี ทนายความฝ่ายจำเลยกล่าวว่า คดีนี้ตนทำมาตั้งแต่ต้น โดยมีทนายร่วมอีก 2 คน ต่อสู้ไปตามข้อเท็จจริง เพราะว่าตามที่เราสืบทราบดูแล้วเขาไม่ได้กระทำผิด และข้อเท็จจริงตามที่ศาลได้พิจารณาแล้วปรากฏว่า 1.ฝ่ายโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นในที่เกิดเหตุ 2.พยานเชิงนิติเวชก็ปรากฏว่าไม่มีดีเอ็นเอของฝ่ายจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้อง ศาลได้ให้เหตุผลสองอย่างนี้เลยยกฟ้อง 
ด้านนายสายัณห์ พี่ชายนายประถมพงษ์ กล่าวว่า อยากให้ตำรวจทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อย่าบิดเบือนข้อเท็จจริงทำให้เราต้องเสียหาย เสียชื่อเสียงพ่อแม่พี่น้อง สังคมประณามเรามามาก ทำให้เราไปไหนไม่ได้เลย ลูกเมียต้องลำบากต้องเดือดร้อน ลูกสองคนต้องออกจากโรงเรียน
ขณะที่นายประถมพงษ์ กล่าวว่า จรรยาบรรณของแต่ละหน่วยงานอยู่ตรงไหน ต้องการให้คดีให้จบ แต่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย เมื่อเขาเข้าไปตรวจค้น ก็ให้ตรวจค้นอย่างดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ อยากให้เขารู้ว่าเราไม่ได้ทำ และตนก็ทำงานเลี้ยงลูก ส่งลูกเรียนหนังสือ แต่ตอนที่ตนเองติดคุกทำให้ลูกต้องออกจากโรงเรียน และตนเองเคยแสดงความบริสุทธิ์ใจตั้งแต่ตอนแรกว่าตนเองไม่ได้ทำ ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไร เขาต้องการปิดคดีให้ได้ จึงใช้อำนาจ ความยุติธรรมไม่มีตั้งแต่ตอนแรก แต่ยังดีที่ศาลยังเห็นความยุติธรรม เมื่อประสบกับตัวเองเราถึงจะรู้






ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ผู้จัดการออนไลน์
 

แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า