ชาวสวนปาล์ม จ.ตรัง ดีใจหลังได้รับเงินประกันรายได้งวดแรก โดยรีบนำไปซื้อปุ๋ยใส่บำรุงต้นและผลให้เต็มที่ พร้อมเสนอให้รัฐแก้ปัญหาราคาตกต่ำอย่างจริงจังด้วย อย่ามีเพียงแต่มาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
วันนี้ (1 ต.ค.) ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พบว่า ตลอดทั้งวันได้มีเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันชาว จ.ตรัง นำสมุดเงินฝากไปตรวจเช็กกับธนาคารและตู้เอทีเอ็มอย่างไม่ขาดสาย ภายใต้โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในงวดแรก จำนวนคนละไม่เกิน 25 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเบิกเงินออกไปเลย เพื่อต้องการไปซื้อปุ๋ยใส่บำรุงต้นและผลผลิตปาล์ม เนื่องจากหลายรายยังไม่ได้ใส่หรือใส่บ้างแต่น้อยนิดจนไม่พอต่อปริมาณความต้องการของต้น ขณะที่บางรายนำเงินไปใช้หนี้ค่าปุ๋ยที่เอามาใส่ก่อนหน้านี้ และรอเงินจำนวนดังกล่าวจากรัฐบาลเพื่อนำมาใช้หนี้ ซึ่งแม้หลายคนจะดีใจที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่กลับมองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด เพราะอยากให้ช่วยให้มีราคาผลผลิตสูงขึ้นมากกว่า
โดยหนึ่งในเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ชาว อ.วังวิเศษ กล่าวว่า ดีใจที่เงินช่วยเหลือดังกล่าวเข้าบัญชี จำนวน 25 ไร่ เป็นเงินจำนวน 12,000 บาท เพราะจะได้นำไปซื้อปุ๋ย ที่ผ่านมาได้ใส่บ้างแต่ใส่น้อย เพราะไม่มีเงินใส่เนื่องจากปาล์มมีราคาถูก จนบางช่วงเหลือแค่กิโลกรัมละ 1.50 บาทเท่านั้น ซึ่งต่ำสุดในรอบหลายสิบปี จึงทำให้ต้นปาล์มไม่มีผลผลิต และหลังจากที่ราคาปาล์มตกต่ำมายาวนาน ทำให้ต้องมาตัดลูกเองเพราะไม่มีเงินจ้างลูกจ้าง ซึ่งดีใจที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่อยากให้ช่วยพยุงราคาให้สูงขึ้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 4 บาท เพื่อจะได้คุ้มทุน มีเงินซื้อปุ๋ย และมีเงินจ้างลูกจ้าง ลูกจ้างก็จะได้มีงานทำ
ด้าน นายสุวิทย์ ทองหอม เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ชาว อ.เมืองตรัง กล่าวว่า โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน เป็นเพียงมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือเป็นแค่การต่ออายุชาวสวนมากกว่า แต่รัฐบาลควรจะพิสูจน์ฝีมือเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในด้านราคา โดยเฉพาะการดึงปาล์มออกจากตลาดไปใช้ให้มากที่สุด เช่น การส่งเสริมผลิตและใช้น้ำมัน B100 อย่างจริงจัง แต่ถ้าหากทำด้วยวิธีนี้อย่างเดียวก็เท่ากับย่ำอยู่กับที่ และจะเกิดปัญหาอีก รวมทั้งไปตรวจสอบแก้ไขปัญหาการนำเข้าน้ำมันปาล์มเพื่อการส่งออกว่าส่งออกจริงหรือไม่ และตรวจสอบการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มอย่างเด็ดขาด จึงจะสามารถแก้ปัญหาด้านราคาได้จริง
วันนี้ (1 ต.ค.) ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พบว่า ตลอดทั้งวันได้มีเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันชาว จ.ตรัง นำสมุดเงินฝากไปตรวจเช็กกับธนาคารและตู้เอทีเอ็มอย่างไม่ขาดสาย ภายใต้โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในงวดแรก จำนวนคนละไม่เกิน 25 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเบิกเงินออกไปเลย เพื่อต้องการไปซื้อปุ๋ยใส่บำรุงต้นและผลผลิตปาล์ม เนื่องจากหลายรายยังไม่ได้ใส่หรือใส่บ้างแต่น้อยนิดจนไม่พอต่อปริมาณความต้องการของต้น ขณะที่บางรายนำเงินไปใช้หนี้ค่าปุ๋ยที่เอามาใส่ก่อนหน้านี้ และรอเงินจำนวนดังกล่าวจากรัฐบาลเพื่อนำมาใช้หนี้ ซึ่งแม้หลายคนจะดีใจที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่กลับมองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด เพราะอยากให้ช่วยให้มีราคาผลผลิตสูงขึ้นมากกว่า
โดยหนึ่งในเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ชาว อ.วังวิเศษ กล่าวว่า ดีใจที่เงินช่วยเหลือดังกล่าวเข้าบัญชี จำนวน 25 ไร่ เป็นเงินจำนวน 12,000 บาท เพราะจะได้นำไปซื้อปุ๋ย ที่ผ่านมาได้ใส่บ้างแต่ใส่น้อย เพราะไม่มีเงินใส่เนื่องจากปาล์มมีราคาถูก จนบางช่วงเหลือแค่กิโลกรัมละ 1.50 บาทเท่านั้น ซึ่งต่ำสุดในรอบหลายสิบปี จึงทำให้ต้นปาล์มไม่มีผลผลิต และหลังจากที่ราคาปาล์มตกต่ำมายาวนาน ทำให้ต้องมาตัดลูกเองเพราะไม่มีเงินจ้างลูกจ้าง ซึ่งดีใจที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่อยากให้ช่วยพยุงราคาให้สูงขึ้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 4 บาท เพื่อจะได้คุ้มทุน มีเงินซื้อปุ๋ย และมีเงินจ้างลูกจ้าง ลูกจ้างก็จะได้มีงานทำ
ด้าน นายสุวิทย์ ทองหอม เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ชาว อ.เมืองตรัง กล่าวว่า โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน เป็นเพียงมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือเป็นแค่การต่ออายุชาวสวนมากกว่า แต่รัฐบาลควรจะพิสูจน์ฝีมือเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในด้านราคา โดยเฉพาะการดึงปาล์มออกจากตลาดไปใช้ให้มากที่สุด เช่น การส่งเสริมผลิตและใช้น้ำมัน B100 อย่างจริงจัง แต่ถ้าหากทำด้วยวิธีนี้อย่างเดียวก็เท่ากับย่ำอยู่กับที่ และจะเกิดปัญหาอีก รวมทั้งไปตรวจสอบแก้ไขปัญหาการนำเข้าน้ำมันปาล์มเพื่อการส่งออกว่าส่งออกจริงหรือไม่ และตรวจสอบการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มอย่างเด็ดขาด จึงจะสามารถแก้ปัญหาด้านราคาได้จริง
Tags
ข่าวเมืองตรัง