ทษช.ลุยใต้เปิดเวทีครั้งแรก รัวหมัด คสช. 5 ปีทำเศรษฐกิจตกต่ำ ยืนยันพร้อมสู้กับเผด็จการ

แกนนำ ทษช.ลุยใต้เปิดเวทีครั้งแรก เย้ย คสช. 5 ปี ทำเศรษฐกิจพัง ประชาชนกระอักเลือด เชื่อคนใต้อยากเปลี่ยนไม่เชื่อพรรคเดิมอีกต่อไป ชู ทษช.มากประสบการณ์ เชี่ยวชาญเศรษฐกิจ พร้อมสู้กับเผด็จการ




ที่ตลาดเสริมเกศ ม.2 ต.เขากอบ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง แกนนำคนสำคัญของพรรคไทยรักษาชาติ โดยมี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายประภัสร์ จงสงวน เป็นกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ร่วมถึงกรรมการบริหารพรรค สมาชิก และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในนามพรรคไทยรักษาชาติทั้ง 3 เขตเลือกตั้งของจังหวัดตรัง ประกอบด้วย นายรัตน์ ภู่กลาง เขต 1 นายคมสรร ต้องหุ้ย เขต 2 และนายนิรุตติ์ รอดริน เขต 3 ได้ร่วมกันเปิดเวทีปราศัยกับประชาชนในพื้นที่ถึงแนวทางและนโยบายการทำงานทางการเมือง ท่ามกลางประชาชนชาวจังหวัดตรังที่มารับฟังอย่างคึกคัก

โดยแกนนำผลัดกันขึ้นเวทีปราศัย โดยเน้นการแก้ไขปัญหายางพารา ปาล์มน้ำมัน และสินค้าด้านการประมง ซึ่งถือเป็นเศรษฐกิจหลักของภาคใต้ พร้อมโจมตีว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาล คสช.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศล้มเหลว เศรษฐกิจฝืดเคือง ทำประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส และกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับรัฐบาลเผด็จการหลอกลวงประชาชน และหากพรรคไทยรักษาชาติได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลจะแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจของภาคใต้เป็นอันดับแรก เพราะพรรคมีบุคลากรที่มีความชำนาญ และมีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ได้รับการตอบรับจากทั่วโลก เมื่อครั้งรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว
 



โดย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า การลงพื้นที่ จ.ตรัง ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในภาคใต้ในครั้งนี้ไม่มีนัยทางการเมืองใด แค่ว่าที่ผู้สมัครทั้ง 3 เขตเลือกตั้งในนามพรรค มีความพร้อม ตนเองและแกนนำคนอื่นๆ ก็พร้อมมาช่วยพูดคุยทำความเข้าใจกับประชาชน และถือว่ามีการตอบรับที่ดีมาก และการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นนี้ ทราบว่าคนภาคใต้อยากเปลี่ยนแปลง พรรคไทยรักษาชาติ จึงขออาสาเสนอตัวเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชน เพราะผู้สมัครแต่ละคนของพรรคมีความพร้อมอย่างเต็มที่ และมีประสบการณ์ เข้าใจปัญหาของคนภาคใต้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องของยางพารา ปาล์มน้ำมัน และการประมง ซึ่งรัฐบาล คสช.ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างหนักอยู่ในขณะนี้
 


ส่วนกรณีพรรคพลังประชาชารัฐ จะมีการทาบทามให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นและไม่เห็นด้วยเป็นที่สุด เพราะถือเป็นการสืบทอดอำนาจเผด็จการอย่างน่าเกลียดที่สุด ถ้าพรรคพลังประชารัฐ คือจุดชี้ขาดของฝ่ายเผด็จการ ทษช.ก็เป็นจุดชี้ขาดของฝ่ายประชาธิปไตย งานของเราไม่ใช่เพียงมาต่อสู้กับพรรค พปชร.เท่านั้น แต่ยังต้องต่อสู้กับอีกหลายพรรค เช่น พรรคเก่าแก่ที่เชื่อว่าเป็นหุ้นส่วนลับกับผู้มีอำนาจ และหลายพรรคที่สมคบคิดกับผู้มีอำนาจก่อการ
ทั้งนี้ ทษช.เป็นพรรคการเมืองที่มีบุคลากรที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ซึ่งพรรค ทรท.นั้นมีหัวหน้า 2 คน หนึ่งคือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ทษช. วันนี้ทักษิณอยู่ในหัวใจ ส่วนจาตุรนต์มาอยู่ ทษช. แต่เพียงจาตุรนต์คนเดียวทำไม่สำเร็จแน่ๆ จึงต้องผนึกกำลังกันแล้วเดินหน้า ทษช. คือพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นเพื่อต่อสู้ให้บ้านเมืองกลับมาเป็นประชาธิปไตย และต่อสู้กับพิษภัยเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ พรรค ทษช.จะไม่ประกาศว่าเป้าหมายจะได้กี่ที่นั่งในสภาฯ แต่เราจะทำอย่างเต็มที่และดีที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้สบายใจ และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง


ด้าน นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ กล่าวว่า ท่าทีของประชาชนในภาคใต้เปิดรับและมีการตอบรับที่ดี แม้ว่าจะเป็นการปราศรัยย่อยก็ตาม ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ซึ่งมาจากการยึดอำนาจและบอกว่าจะมาทำให้การเมืองโปร่งใส และเมื่อถึงเวลาก็จะหมดวาระไปเอง แต่มาตอนนี้กลับเป็นว่ากำลังถูกทาบทามให้กลับมาขึ้นชิงตำแหน่งนายกฯ อีกครั้ง ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม 
ปัญหาคือ ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นหัวหน้า คสช.และยังไม่ยอมปฏิบัติตัวเป็นนายกฯ ในรัฐบาลรักษาการที่มีข้อจำกัดในอำนาจ แต่ยังคงใช้อำนาจทุกอย่างในโครงการแจกสิ่งของ งบประมาณต่างๆ ซึ่งตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะจะมีผลในการให้คุณให้โทษ โดยเฉพาะจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคการเมืองที่ใช้ชื่อพรรคที่ตรงกับโครงการต่างๆ ก็สามารถใช้งบประมาณได้ไม่จำกัด แม้ขณะนี้ รัฐมนตรีทั้ง 4 คนจะลาออกไปแล้ว แต่ก็ยังมีความเชื่อมโยงกันกับนายกรัฐมนตรีอยู่ดี และเมื่อกำลังจะเป็นผู้ที่ขึ้นชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย ก็ยิ่งทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก..ผู้จัดการออนไลน์ 

แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า