“หมู่บ้านข้าวหลาม” วิถีชุมชนชาวบ้านบนควน จ.ตรัง ร่วมสืบทอดมานานกว่า 150 ปี

 “หมู่บ้านข้าวหลาม” วิถีชุมชนชาวบ้านบนควน ต.โคกสะบ้า อ.นาโยง ที่ยังคงร่วมกันสืบทอดกันมายาวนานกว่า 150 ปีแล้ว พร้อมถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยรสชาติที่อร่อย นุ่ม หอม หวาน มัน เค็ม

 บ้านบนควน หมู่ที่ 8 ต.โคกสะบ้า อ.นาโยง จ.ตรัง ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง “หมู่บ้านข้าวหลาม” ที่สืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายรวมแล้วประมาณ 150 ปี โดยพบว่าบรรยากาศยามเช้าของเกือบทุกวันจะเห็นควันไฟลอยโขมงอยู่หน้าบ้าน ข้างบ้าน หรือหลังบ้าน ซึ่งเป็นภาพชินตาของหมู่บ้านแห่งนี้ เพราะชาวบ้านจะตื่นตั้งแต่เวลาประมาณ 03.00 น. เพื่อลุกขึ้นมานำข้าวเหนียวและน้ำกะทิหยอดใส่ในกระบอกไม้ไผ่เพื่อทำข้าวหลาม จนสว่างยามเช้าก็ยังคงเห็นชาวบ้านสาละวนกับการย่างข้าวหลามที่เตาไฟก่อขึ้นแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อนำออกร้านหรือจำหน่ายในตลาดนัด

สำหรับประวัติการทำข้าวหลามที่นี่ สืบเนื่องมานับตั้งแต่อดีตที่ชาวบ้านในอำเภอนาโยง รวมทั้งชาวบ้านบนควน ซึ่งมีอาชีพทำนา จึงมีทั้งข้าวเจ้า ข้าวเหนียว เก็บไว้กินเป็นจำนวนมาก ดังนั้น การทำข้าวหลามจึงเกิดขึ้นตามภูมิปัญญาชาวบ้าน และสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จนได้ผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ OTOP


ปัจจุบันยังมีชาวบ้านที่ทำกันเป็นอาชีพอีกประมาณ 12 ครัวเรือน จนได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านข้าวหลาม ด้วยรสชาติที่อร่อย นุ่ม รสชาติหวาน มัน เค็ม และมีกลิ่นหอมของไม้ไผ่ที่เอามาเผาไฟ ทำให้ข้าวหลามของที่นี่ขึ้นชื่อที่สุดของจังหวัดตรัง โดยขณะนี้คนที่ทำมีทั้งรุ่นพ่อแม่ แล้วถ่ายทอดไปสู่รุ่นลูกหลานเพื่อสานต่ออาชีพ เพราะปัจจุบันข้าวหลามก็ยังเป็นนิยมของประชาชนทั่วไปในโอกาสต่างๆ ทั้งจังหวัดตรัง และข้างเคียง เช่น พัทลุง กระบี่ สงขลา นครศรีธรรมราช

โดยชาวบ้านเปิดเผยว่า เคล็ดลับความอร่อยของข้าวหลามที่นี่คือ หลังจากนำข้าวเหนียวกรอกในกระบอกไม้ไผ่แล้ว จะตามด้วยการหยอดน้ำกะทิ ที่ผสมกับเกลือและน้ำตาล ก่อนเอาไปในนึ่งในหม้อนึ่ง พร้อมปิดฝาเป็นเวลา 2 ชม. เพื่อให้ข้าวเหนียวจับตัวกันแน่น และเข้ากับส่วนผสมทั้งหมด ส่วนก้นหม้อนึ่งดังกล่าวจะต้องนำเศษไม้ไผ่มาวางลงไปให้แน่น เพื่อรองก้นกระบอกไม้ไผ่ไม่ให้เปียกหรือจมน้ำ ไม่เช่นนั้นข้าวหลามที่ออกมาจะแฉะ เมื่อครบกำหนดเวลาก็นำขึ้นมาย่างต่อกับไฟถ่าน ประมาณ 30 นาที และหมั่นพลิกกระบอกไม้ไผ่เพื่อให้ข้าวเหนียวสุกทั่วถึง ก็จะได้ข้าวหลามที่นุ่ม แต่หุ้มด้วยเยื่อไผ่ที่แสนอร่อย เป็นที่ต้องการของลูกค้า


น.ส.สุมลฑา นิลจันทร์ อายุ 37 ปี หนึ่งในผู้ที่สืบทอดภูมิปัญญาข้าวหลาม กล่าวว่า ตอนสถานการณ์โควิด-19 ก็ได้รับผลกระทบเนื่องจากตลาดนัดปิดและส่งขายต่างจังหวัดไม่ได้ แต่หลังสถานการณ์คลี่คลายก็กลับมาทำได้ตามปกติ ล่าสุดมีการพัฒนาขึ้นมาเป็น 12 ไส้แล้ว ได้แก่ ไส้กะทิธรรมดา ไส้มะพร้าวอ่อน ไส้ใบเตยมะพร้าวอ่อน ไส้บ๊ะจ่าง ไส้เผือก ไส้ถั่วดำ ไส้ถั่วแดง ไส้ใบเตย ไส้ดอกอัญชัน ไส้ปลากะพง ไส้หมูย่าง และไส้ธัญพืช ซึ่งขายดีมากแม้ในช่วงปกติ ทั้งในงานศพ งานวัด และตลาดนัด ทั้งนี้ ถ้าทำครั้งละ 10 กิโลกรัม ก็จะขายได้ประมาณ 2,600 บาท แต่ในช่วงที่มีงานออกร้านต้องทำจำหน่ายทุกวันๆ ละ 30-40 กิโลกรัมเลยทีเดียว

ด้าน นางจินดา แสงมี อายุ 61 ปี ประธานกลุ่มหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง “หมู่บ้านข้าวหลาม” บ้านบนควน กล่าวว่า ปกติถ้าไม่มีการออกงานแสดงสินค้า ก็จะทำสัปดาห์ละ 4 วัน คือ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เพื่อให้ลูกหลานนำไปขายในตลาดนัด ส่วนราคาขายขึ้นอยู่กับขนาดของกระบอกไม้ไผ่ เช่น กระบอกละ 30-35 บาท หรือ 3 กระบอก 100 บาท กระบอกละ 40-70 บาท แต่หากใส่ไส้จะขายราคาเท่ากันทั้งหมด คือ กระบอกละ 100 บาท พร้อมเชื่อว่าหมู่บ้านข้าวหลามจะไม่หายไปจากพื้นที่แน่นอน เพราะปัจจุบันสมาชิกทุกคนมีลูกหลานสืบทอด และมีแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้น เพราะยังเป็นที่ต้องการของตลาด










    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ผู้จัดการออนไลน์

     

    แสดงความคิดเห็น

    ใหม่กว่า เก่ากว่า