ชาวบ้านอยู่ติดสนามบินตรังเดือดร้อนบ้านพัง วอนหน่วยงานเร่งแก้ปัญหา เสนอเวนคืนที่ดินพร้อมย้ายที่อยู่


 ชาวบ้าน 30 ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ติดสนามบินตรัง วอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนด้านสิ่งแวดล้อม เพราะเกิดมานาน 5-6 ปีแล้ว เสนอให้เวนคืนที่ดินพร้อมย้ายไปอยู่ที่อื่นทันที
วันนี้ (29 มี.ค.) ตัวแทนชาวบ้านชุมชนบ้านหัวสนามบิน หมู่ 12 ต.โคกหล่อ อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งมีบ้านเรือนตั้งอยู่ติด และใกล้กับสนามบินตรัง ได้นำผู้สื่อข่าวเข้าไปสำรวจบ้านเรือนของตนเอง บ้านญาติๆ และบ้านของเพื่อนบ้าน ทั้งบ้านชั้นเดียว และบ้านสองชั้น โดยกำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักมายาวนานไม่ต่ำกว่า 5-6 ปี จากการขึ้นลงของเครื่องบินที่สนามบินตรัง ซึ่งอยู่ติดกันวันละประมาณ 10 เที่ยว เพราะทำให้บ้านแตกร้าวลึก และบางจุดที่เป็นรอยต่อของบ้านจะแยกออกจากกัน ตั้งแต่บนดาดฟ้าลงมาหลังคา จนถึงฝาผนังบ้าน และลึกลงดิน
ขณะที่ฝ้าเพดาน ประตู หน้าต่าง หลุดแตกแยกพังเสียหาย บางหลังผนังบ้านแตกแยกออกจากกัน จนสามารถที่จะพังทับลงมาได้ทุกเมื่อ หรือหากมีฝนตกลงมาก็จะทำให้ฝ้าเพดานรั่วจนน้ำนองเต็มบ้าน และต้องจัดหากะละมังไปวางเอาไว้รองรับน้ำฝน แต่ส่วนใหญ่จะตกหนักจนรองไม่ทัน อีกทั้งคราบเขม่าน้ำมันจากเครื่องบินก็เกาะเสื้อผ้าที่ตากเอาไว้ ทำให้ชาวบ้านทั้งหมดเดือดร้อนหนัก และยังมีคนแก่ เด็กเล็กที่นอนไม่หลับ จากปัญหาขณะเครื่องบินขึ้นลง จึงวอนไปยังกรมท่าอากาศยาน ช่วยทำการเวนคืนที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวไปทั้งหมดด้วย

น.ส.ศิริพร ณ นคร อายุ 35 ปี กล่าวว่า ชาวบ้านทั้งหมดยินดีให้มีการปรับปรุงพัฒนาสนามบินตรัง แต่อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันมาดูแลชาวบ้านในบริเวณนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงด้วย ทั้งนี้ เจ้าของบ้านแต่ละหลังเสียเงินซ่อมแซมบ้านแตกร้าวไปแล้วจำนวนมาก จนบางหลังปล่อยทิ้งแล้ว เพราะหากซ่อมไปก็เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ เพราะปัญหายังคงมีอยู่เหมือนเดิม ซึ่งล่าสุดกรมท่าอากาศยาน ได้เรียกประชุมชาวบ้านเพื่อศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และพวกตนก็ได้เสนอปัญหาไปแล้ว แต่ได้รับคำตอบว่าไม่มีเงิน และอยู่นอกพื้นที่เวนคืน
ขณะที่นางณี กกแก้ว อายุ 65 ปี กล่าวว่า เนื่องจากรั้วกำแพงสนามบินอยู่ติดกับบ้านของตนเองเลย จึงมีเสียงและแรงสั่นสะเทือนมาก ทำให้ฝาผนังห้องครัวแยกออกจากตัวบ้าน และเตรียมจะพังทลายลงมา จนตนเองไม่กล้าอยู่ในห้องครัว กลัวฝาผนังบ้านจะล้มทับเอา ส่วนผนังห้องน้ำก็แยกออกจากตัวบ้าน จนต้องไปหากระดาษหนังสือพิมพ์ชุบน้ำมาอัดปิดรอยแยกไว้ เพราะกลัวจะมีคนเห็นเวลาเข้าห้องน้ำ จึงวอนขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเวนคืนที่ดิน และบ้านเรือนไปด้วย เพราะหากยังอยู่เช่นนี้ เมื่อขยายสนามบินจะยิ่งเดือดร้อนหนัก
ด้านนางสมศรี เงินศรี อายุ 57 ปี ก็กล่าวว่า ชาวบ้านในชุมชนแห่งนี้มีจำนวน 30 ครัวเรือน หรือประมาณ 100 คน เดือดร้อนอย่างหนักมาไม่ต่ำกว่า 5-6 ปีแล้ว ที่ผ่านมาเคยร้องเรียนไปยังผู้อำนวยการท่าอากาศยานตรังแล้วหลายครั้ง ก็ไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งหากได้ค่าเวนคืนที่ดิน พวกตนก็พร้อมจะย้ายออกจากพื้นที่ทันที โดยไม่ต้องการการเยียวยา ที่สำคัญเมื่อทางราชการมีแผนจะขยายสนามบินตรัง ชาวบ้านในชุมชนแห่งนี้ นอกจากจะเดือดร้อนจากเสียง หรือแรงสั่นสะเทือนแล้ว ยังจะต้องเดือดร้อนจากปัญหาการก่อสร้างอื่นๆ อีกในอนาคตแน่







ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ผู้จัดการออนไลน์
          
         
        
       
      
     
    
   
  
 











แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า