อดีตนายทหารกองทัพบกร้องสื่อ หลังจู่ๆ เงินในบัญชีก็ถูกหักไปเดือนละเกือบ 4 พัน เมื่อไปตรวจสอบกลับพบเป็นหนี้ธนาคาร 6 แสนบาท โดยที่มีการปลอมแปลงหลักฐานทุกอย่างแนบเนียน
วันนี้ (28 พ.ค.) ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์ อายุ 60 ปี ข้าราชการบำนาญ อดีตเคยรับราชการทหารสังกัดกองทัพบก อยู่บ้านเลขที่ 143 ม.5 ต.นาโยงเหนือ อ.นาโยง จ.ตรัง พร้อมด้วยภรรยา ญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้าน รวมทั้ง นายสมควร จิตรแก้ว นายก อบต.นาโยงเหนือ ได้ออกมาร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวกรณีที่ตกเป็นหนี้เงินกู้ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง เกือบล้านบาท โดยที่เจ้าตัวเองไม่เคยยื่นกู้ และไม่เคยเข้าไปติดต่อทำธุรกรรมใดๆ กับธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง มาก่อนแต่อย่างใด
โดย ร.ต.ทักษิณ ผู้เสียหาย ดล่าวว่า ตนเองเกษียณอายุราชการเมื่อตุลาคม 2560 และได้รับเงินบำเหน็จบำนาญตามปกติ ทั้งนี้ แม้ตนเองจะมีสิทธิที่จะกู้เงินกับธนาคารได้ แต่ก็ไม่เคยยื่นกู้เพราะไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ ที่จะต้องใช้เงิน โดยแต่ละเดือนตนเองทราบว่ามีสิทธิได้รับอัตราเงินบำนาญเดือนละ 41,321 บาท จากกรมบัญชีกลาง และหักภาษีเดือนละ 399.38 บาท ส่วนเงินที่เหลือกรมบัญชีกลางจะโอนเข้าบัญชีธนาคารทหารไทย ต้นสังกัด เดือนละ 40,921.62 บาท ซึ่งนับตั้งแต่เกษียณอายุราชการมาประมาณวันที่ 23 ของทุกเดือน กรมบัญชีกลางก็โอนเงินเข้าบัญชีมาให้
จากนั้นตนเองก็จะกดเงินด้วยบัตรเอทีเอ็มเท่าที่ความจำเป็นจะต้องใช้ในแต่ละเดือน เช่น ให้ภรรยาใช้ส่วนตัว และให้พ่อแม่เท่านั้น ส่วนเงินที่เหลือก็ไม่เคยสนใจเบิกเกินมา หรือไม่เคยตรวจเช็กยอดเงิน เพราะพอถึงปลายเดือนเงินเข้าอีก ก็จะกดกับบัตรเอทีเอ็มตามจำนวนที่ต้องใช้อีกจึงไม่ได้สนใจใดๆ เพราะเงินดังกล่าวอยู่กับกระทรวงการคลัง ไม่ใช่เงินค้างในบัญชีธนาคารที่จะต้องหมั่นคอยตรวจเช็กว่าเบิกแล้วเงินเหลือเท่าไหร่ จึงเชื่อว่าใครก็ไม่สามารถจะโกงเงินไปจากบัญชีได้
แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตนเองได้ปรึกษากับภรรยาว่าจะสร้างขนำภายในพื้นที่การเกษตรสัก 1 หลัง เพื่อเอาไว้พักผ่อนยามเข้าสวน จึงได้ไปติดต่อที่สำนักงานสัสดี จังหวัดตรัง เพื่อขอเอกสารหลักฐานเตรียมยื่นกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย ปรากฏว่า เมื่อไปถึงได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่สัสดีจังหวัดตรังว่า ตนเองยื่นกู้เงินไปแล้วไม่มีสิทธิจะกู้ได้อีก ตนเองก็ตกใจเพราะไม่เคยใช้สิทธิยื่นกู้เงินมาก่อน จึงขอดูเอกสารหลักฐานพบว่ากรมบัญชีกลาง หักเงินบำนาญของตนเองไปทุกเดือนๆ ละ 3,950 บาท เพื่อจ่ายหนี้เงินกู้
ซึ่งในเอกสารระบุกู้เงินตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2562 เป็นเงิน 600,000 บาท ระยะเวลาการกู้ 360 เดือน และถูกหักเงินมาแล้วเป็นเวลาประมาณ 1 ปี รวมยอดเงินแล้ว 47,400 บาท และพบว่าแต่ละเดือนกรมบัญชีกลาง จะโอนเงินบำนาญที่เหลือจากการหักหนี้เงินกู้เข้าบัญชีธนาคารทหารไทยของตนเพียงเดือนละ 36,971.62 บาท ซึ่งตนเองไม่เคยสังเกตจำนวนเงินที่เข้าในบัญชี เพราะแต่ละเดือนจะถอนเงินจากธนาคารมาใช้ด้วยบัตรเอทีเอ็ม และเบิกจำนวนเดิมๆ ที่ต้องใช้แต่ละเดือนเท่านั้น จึงไม่เคยทราบความผิดปกติใดๆ
ทั้งนี้ ขณะที่ตนเองยืนยันกับสัสดีจังหวัดตรัง และเจ้าหน้าที่ทุกคนบนสำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง กลับได้รับคำยืนยันจากสัสดีจังหวัดตรังว่า ตนเองยื่นกู้จริงและขอให้ยอมรับ หรือหลงลืมหรือเปล่า หรือว่าเป็นอัลไซเมอร์จำเหตุการณ์ไม่ได้ เพราะหลักฐานมีการกู้ยืมจริง ซึ่งตนเองก็ยืนยันว่าไม่เคยกู้ยืมเงินจำนวนดังกล่าวแต่อย่างใด และต้องมีการปลอมแปลงเอกสาร แต่ทางสัสดีจังหวัดก็ยืนยันว่าตนเองกู้จริง เอกสารจริง
จากนั้นตนเองจึงเดินทางไปติดต่อที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง ก็ได้รับตอบจากธนาคารว่า ตนเองมายื่นกู้จริง ใช้หลักฐานจริง บัตรประชาชนก็ของจริง ตนเองก็ยืนยันว่าตนเองไม่เคยมาที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง ไม่เคยทำธุรกรรมใดๆ ด้วย โดยขอดูเอกสารการกู้เงินจากธนาคาร และขอดูกล้องวงจรปิดในวันที่มากู้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะให้ดูหลักฐานการกู้ โดยบอกว่าหลักฐานการกู้ตนเองได้รับไปแล้ว
ขณะที่ตนเองก็ยืนยันว่าคนกู้ไม่ใช่ตนเอง ต้องมีคนมาปลอมแปลงเอกสารและยื่นกู้ ส่วนกล้องวงจรปิดธนาคารก็ไม่ให้ดู พร้อมเปิดให้ดูลายเซ็น และบัตรประชาชนที่ใช้เป็นหลักฐานในการกู้จากคอมพิวเตอร์ว่าเป็นของตนเองจริง ตนเองก็ยืนยันว่าตนเองไม่ได้มายื่นกู้ ส่วนลายเซ็นและบัตรประชาชนต้องมีคนปลอมขึ้นมาแน่นอน
เมื่อตนเองได้สอบถามอย่างละเอียด และให้เจ้าหน้าที่ธนาคารคนดังกล่าวเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า คนที่มากู้ในวันนั้นที่บอกว่าเป็นตนเอง หน้าตาเป็นอย่างไร อายุเท่าไร มากี่คน ก็ได้รับคำตอบว่ามา 2 คน เป็นผู้หญิง 1 คน (เป็นเจ้าหน้าที่มาจากสำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง) และผู้ชายอายุประมาณ 30 ปีเศษอีก 1 คน (แอบอ้างว่าเป็นตนเอง) โดยเจ้าหน้าที่สัสดีผู้หญิงคนนั้น บอกกับเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าเป็นบุตรบุญธรรมตนเอง แล้วธนาคารก็ให้กู้ไป ซึ่งตนก็บอกว่าเป็นไปได้อย่างไร ตนเองอายุ 60 ปี คนไปกู้อายุ 30 ปีเศษ ห่างไกลกันมาก ธนาคารให้กู้ได้อย่างไร
วันนี้ (28 พ.ค.) ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์ อายุ 60 ปี ข้าราชการบำนาญ อดีตเคยรับราชการทหารสังกัดกองทัพบก อยู่บ้านเลขที่ 143 ม.5 ต.นาโยงเหนือ อ.นาโยง จ.ตรัง พร้อมด้วยภรรยา ญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้าน รวมทั้ง นายสมควร จิตรแก้ว นายก อบต.นาโยงเหนือ ได้ออกมาร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวกรณีที่ตกเป็นหนี้เงินกู้ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง เกือบล้านบาท โดยที่เจ้าตัวเองไม่เคยยื่นกู้ และไม่เคยเข้าไปติดต่อทำธุรกรรมใดๆ กับธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง มาก่อนแต่อย่างใด
โดย ร.ต.ทักษิณ ผู้เสียหาย ดล่าวว่า ตนเองเกษียณอายุราชการเมื่อตุลาคม 2560 และได้รับเงินบำเหน็จบำนาญตามปกติ ทั้งนี้ แม้ตนเองจะมีสิทธิที่จะกู้เงินกับธนาคารได้ แต่ก็ไม่เคยยื่นกู้เพราะไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ ที่จะต้องใช้เงิน โดยแต่ละเดือนตนเองทราบว่ามีสิทธิได้รับอัตราเงินบำนาญเดือนละ 41,321 บาท จากกรมบัญชีกลาง และหักภาษีเดือนละ 399.38 บาท ส่วนเงินที่เหลือกรมบัญชีกลางจะโอนเข้าบัญชีธนาคารทหารไทย ต้นสังกัด เดือนละ 40,921.62 บาท ซึ่งนับตั้งแต่เกษียณอายุราชการมาประมาณวันที่ 23 ของทุกเดือน กรมบัญชีกลางก็โอนเงินเข้าบัญชีมาให้
จากนั้นตนเองก็จะกดเงินด้วยบัตรเอทีเอ็มเท่าที่ความจำเป็นจะต้องใช้ในแต่ละเดือน เช่น ให้ภรรยาใช้ส่วนตัว และให้พ่อแม่เท่านั้น ส่วนเงินที่เหลือก็ไม่เคยสนใจเบิกเกินมา หรือไม่เคยตรวจเช็กยอดเงิน เพราะพอถึงปลายเดือนเงินเข้าอีก ก็จะกดกับบัตรเอทีเอ็มตามจำนวนที่ต้องใช้อีกจึงไม่ได้สนใจใดๆ เพราะเงินดังกล่าวอยู่กับกระทรวงการคลัง ไม่ใช่เงินค้างในบัญชีธนาคารที่จะต้องหมั่นคอยตรวจเช็กว่าเบิกแล้วเงินเหลือเท่าไหร่ จึงเชื่อว่าใครก็ไม่สามารถจะโกงเงินไปจากบัญชีได้
แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตนเองได้ปรึกษากับภรรยาว่าจะสร้างขนำภายในพื้นที่การเกษตรสัก 1 หลัง เพื่อเอาไว้พักผ่อนยามเข้าสวน จึงได้ไปติดต่อที่สำนักงานสัสดี จังหวัดตรัง เพื่อขอเอกสารหลักฐานเตรียมยื่นกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย ปรากฏว่า เมื่อไปถึงได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่สัสดีจังหวัดตรังว่า ตนเองยื่นกู้เงินไปแล้วไม่มีสิทธิจะกู้ได้อีก ตนเองก็ตกใจเพราะไม่เคยใช้สิทธิยื่นกู้เงินมาก่อน จึงขอดูเอกสารหลักฐานพบว่ากรมบัญชีกลาง หักเงินบำนาญของตนเองไปทุกเดือนๆ ละ 3,950 บาท เพื่อจ่ายหนี้เงินกู้
ซึ่งในเอกสารระบุกู้เงินตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2562 เป็นเงิน 600,000 บาท ระยะเวลาการกู้ 360 เดือน และถูกหักเงินมาแล้วเป็นเวลาประมาณ 1 ปี รวมยอดเงินแล้ว 47,400 บาท และพบว่าแต่ละเดือนกรมบัญชีกลาง จะโอนเงินบำนาญที่เหลือจากการหักหนี้เงินกู้เข้าบัญชีธนาคารทหารไทยของตนเพียงเดือนละ 36,971.62 บาท ซึ่งตนเองไม่เคยสังเกตจำนวนเงินที่เข้าในบัญชี เพราะแต่ละเดือนจะถอนเงินจากธนาคารมาใช้ด้วยบัตรเอทีเอ็ม และเบิกจำนวนเดิมๆ ที่ต้องใช้แต่ละเดือนเท่านั้น จึงไม่เคยทราบความผิดปกติใดๆ
ทั้งนี้ ขณะที่ตนเองยืนยันกับสัสดีจังหวัดตรัง และเจ้าหน้าที่ทุกคนบนสำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง กลับได้รับคำยืนยันจากสัสดีจังหวัดตรังว่า ตนเองยื่นกู้จริงและขอให้ยอมรับ หรือหลงลืมหรือเปล่า หรือว่าเป็นอัลไซเมอร์จำเหตุการณ์ไม่ได้ เพราะหลักฐานมีการกู้ยืมจริง ซึ่งตนเองก็ยืนยันว่าไม่เคยกู้ยืมเงินจำนวนดังกล่าวแต่อย่างใด และต้องมีการปลอมแปลงเอกสาร แต่ทางสัสดีจังหวัดก็ยืนยันว่าตนเองกู้จริง เอกสารจริง
จากนั้นตนเองจึงเดินทางไปติดต่อที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง ก็ได้รับตอบจากธนาคารว่า ตนเองมายื่นกู้จริง ใช้หลักฐานจริง บัตรประชาชนก็ของจริง ตนเองก็ยืนยันว่าตนเองไม่เคยมาที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง ไม่เคยทำธุรกรรมใดๆ ด้วย โดยขอดูเอกสารการกู้เงินจากธนาคาร และขอดูกล้องวงจรปิดในวันที่มากู้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะให้ดูหลักฐานการกู้ โดยบอกว่าหลักฐานการกู้ตนเองได้รับไปแล้ว
ขณะที่ตนเองก็ยืนยันว่าคนกู้ไม่ใช่ตนเอง ต้องมีคนมาปลอมแปลงเอกสารและยื่นกู้ ส่วนกล้องวงจรปิดธนาคารก็ไม่ให้ดู พร้อมเปิดให้ดูลายเซ็น และบัตรประชาชนที่ใช้เป็นหลักฐานในการกู้จากคอมพิวเตอร์ว่าเป็นของตนเองจริง ตนเองก็ยืนยันว่าตนเองไม่ได้มายื่นกู้ ส่วนลายเซ็นและบัตรประชาชนต้องมีคนปลอมขึ้นมาแน่นอน
เมื่อตนเองได้สอบถามอย่างละเอียด และให้เจ้าหน้าที่ธนาคารคนดังกล่าวเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า คนที่มากู้ในวันนั้นที่บอกว่าเป็นตนเอง หน้าตาเป็นอย่างไร อายุเท่าไร มากี่คน ก็ได้รับคำตอบว่ามา 2 คน เป็นผู้หญิง 1 คน (เป็นเจ้าหน้าที่มาจากสำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง) และผู้ชายอายุประมาณ 30 ปีเศษอีก 1 คน (แอบอ้างว่าเป็นตนเอง) โดยเจ้าหน้าที่สัสดีผู้หญิงคนนั้น บอกกับเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าเป็นบุตรบุญธรรมตนเอง แล้วธนาคารก็ให้กู้ไป ซึ่งตนก็บอกว่าเป็นไปได้อย่างไร ตนเองอายุ 60 ปี คนไปกู้อายุ 30 ปีเศษ ห่างไกลกันมาก ธนาคารให้กู้ได้อย่างไร
พร้อมกันนั้น ยังมีการเปิดสมุดบัญชีใหม่ และทำบัตรเอทีเอ็มใหม่ในนามชื่อตนเองไปด้วย พร้อมให้เบอร์ติดต่อคนที่สามารถติดต่อได้กับธนาคารไว้ 1 คน เมื่อโทร.สอบถามพบว่าคนดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช จากนั้นตนเองจึงได้เดินทางเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองตรัง เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อดำเนินคดีโดยไม่ได้ระบุตัวบุคคล แต่ต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม ตนเองพอจะทราบบุคคลเบื้องต้น 1 คน จึงได้เข้าแจ้งความใหม่ พบเป็นลูกจ้างประจำสำนักงานสัสดีจังหวัด ชื่อ น.ส.พชร จันทร์ดำ พร้อมพวก เพื่อให้ตำรวจสอบสวนดำเนินคดีให้ได้ทั้งหมด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ขั้นตอนทั่วไปในการขอยื่นกู้เงินดังกล่าวตามสิทธินั้น จะต้องขอเอกสารหลักฐานจากใคร หรือเกี่ยวพันกับใครได้บ้าง จึงจะสามารถยื่นกู้กับธนาคาร และได้รับการอนุมัติให้กู้ได้ ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์ กล่าวว่า หลักฐานส่วนบุคคลของตนเอง ครอบครัว บิดามารดา เหมือนข้าราชการที่ยังทำงานปกติ จะอยู่ในสารบบสำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง สามารถคัดลอกเอาออกมาได้ทั้งหมด ส่วนหนังสือรับรองจากคลังจังหวัด สามารถลิงก์ข้อมูลขอออกมาได้ แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ จะต้องแสดงตัวตนของคนที่จะกู้ พร้อมเอกสารหลักฐาน
“แต่นี้เขาทำกันแบบไหนไม่ทราบ เหมือนจริงทุกอย่าง และเป็นไปตามขั้นตอน แต่ว่าทุกอย่างปลอมหมด ทำปลอมได้หมด แม้แต่บัตรประชาชน สุดท้ายเมื่อได้รับการอนุมัติจากหัวหน้างาน คือ สัสดีจังหวัดตรังแล้ว ก็ส่งตรงไปยังกรมบัญชีกลาง ซึ่งเชื่อว่ากรมบัญชีกลางคงตรวจสอบแล้วว่าหลักฐานพร้อม ถูกต้องตามระเบียบ คงไม่ทราบว่ามีการปลอมแปลงกันมาเป็นขั้นเป็นตอน ส่วนตัวจึงเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวจะต้องทำเป็นขบวนการ จะต้องมีผู้ร่วมกระทำผิดหลายคน” ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์ กล่าว
ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์ กล่าวย้ำอีกว่า ความจริงหากมีการกู้เงินแบบนี้ ธนาคารจะต้องมีใบแจ้งหนี้เงินกู้ หรือสลิปใบเสร็จรับเงินรายเดือนแจ้งมาที่ที่อยู่ตน ตนก็จะได้ทราบตั้งแต่ตอนต้น แต่ตอนนี้มาเกิดขึ้นกับตนแล้ว จึงขอเตือนให้ข้าราชการบำนาญทุกคน หมั่นตรวจเช็ดสถานะส่วนบุคคลของตนเองให้ดี เกรงจะเกิดเหตุการณ์เป็นหนี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเหมือนกับตนเองได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ขั้นตอนทั่วไปในการขอยื่นกู้เงินดังกล่าวตามสิทธินั้น จะต้องขอเอกสารหลักฐานจากใคร หรือเกี่ยวพันกับใครได้บ้าง จึงจะสามารถยื่นกู้กับธนาคาร และได้รับการอนุมัติให้กู้ได้ ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์ กล่าวว่า หลักฐานส่วนบุคคลของตนเอง ครอบครัว บิดามารดา เหมือนข้าราชการที่ยังทำงานปกติ จะอยู่ในสารบบสำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง สามารถคัดลอกเอาออกมาได้ทั้งหมด ส่วนหนังสือรับรองจากคลังจังหวัด สามารถลิงก์ข้อมูลขอออกมาได้ แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ จะต้องแสดงตัวตนของคนที่จะกู้ พร้อมเอกสารหลักฐาน
“แต่นี้เขาทำกันแบบไหนไม่ทราบ เหมือนจริงทุกอย่าง และเป็นไปตามขั้นตอน แต่ว่าทุกอย่างปลอมหมด ทำปลอมได้หมด แม้แต่บัตรประชาชน สุดท้ายเมื่อได้รับการอนุมัติจากหัวหน้างาน คือ สัสดีจังหวัดตรังแล้ว ก็ส่งตรงไปยังกรมบัญชีกลาง ซึ่งเชื่อว่ากรมบัญชีกลางคงตรวจสอบแล้วว่าหลักฐานพร้อม ถูกต้องตามระเบียบ คงไม่ทราบว่ามีการปลอมแปลงกันมาเป็นขั้นเป็นตอน ส่วนตัวจึงเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวจะต้องทำเป็นขบวนการ จะต้องมีผู้ร่วมกระทำผิดหลายคน” ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์ กล่าว
ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์ กล่าวย้ำอีกว่า ความจริงหากมีการกู้เงินแบบนี้ ธนาคารจะต้องมีใบแจ้งหนี้เงินกู้ หรือสลิปใบเสร็จรับเงินรายเดือนแจ้งมาที่ที่อยู่ตน ตนก็จะได้ทราบตั้งแต่ตอนต้น แต่ตอนนี้มาเกิดขึ้นกับตนแล้ว จึงขอเตือนให้ข้าราชการบำนาญทุกคน หมั่นตรวจเช็ดสถานะส่วนบุคคลของตนเองให้ดี เกรงจะเกิดเหตุการณ์เป็นหนี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเหมือนกับตนเองได้
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ผู้จัดการออนไลน์
Tags
ข่าวเมืองตรัง