คุณป้าชาวตรังเข้าแจ้งความเงินเยียวยาหายจากบัญชี คาดเป็นฝีมือหญิงสาวที่อาสากดเงินให้



 คุณป้าชาว อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง สุดช็อกหลังเงินเยียวยาโควิด-19 หายจากบัญชี ทั้งที่เตรียมจะเอามาจ่ายค่าเช่าบ้านที่ค้าง 3 เดือนแล้ว ก่อนแจ้งตำรวจช่วยตามหา คาดเป็นฝีมือของหญิงสาวที่อาสากดเงินให้

วันนี้ (16 พ.ค.) นางละมุล ศรีวุ่น อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 137 ม.1 ต.ทุ่งกระบือ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง ได้พาผู้สื่อข่าวไปดูสภาพความเป็นอยู่ที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง ในเขตเทศบาล ต.ย่านตาขาว ซึ่งตนเองเข้ามาอยู่ได้ประมาณ 2 ปีแล้ว พร้อมกับสามีวัย 70 ปี และหลานชายวัย 12 ปี รวม 3 คน แต่ล่าสุด ได้ค้างค่าเช่าบ้านหลังนี้มาถึง 3 เดือน เพราะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยได้ขอผลัดแล้วผลัดอีกกับเจ้าของบ้านเช่า จนตัวเองเครียด และนอนไม่หลับ พร้อมทั้งมีความหวังว่าจะนำเงินเยียวยาจากสถานการณ์โควิด-19 มาจ่ายค่าเช่าที่ค้างอยู่ทั้งหมด หลังจากได้รับข้อความยืนยันว่าเงินเข้าบัญชีแล้ว จนทำให้ตนเองดีใจอย่างมาก


ดังนั้น เมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา คุณป้าจึงเดินเท้าออกจากบ้าน เพื่อไปยังธนาคารกรุงเทพ สาขาย่านตาขาว เพื่อจะไปเอาบัตรเอทีเอ็ม แต่ปรากฏว่าบัตรใหม่ยังไม่มา ตนเองจึงเตรียมที่จะเดินเท้าไปกดเงินที่ธนาคารออมสิน สาขาย่านตาขาว แทน แต่ปรากฏว่าพบผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 40 ปี เดินผ่านมาพอดี และถามตนเองว่าคุณป้าทำไมเดินไม่ค่อยไหว เป็นไงจะเป็นลมหรือเปล่า ตนเองก็บอกว่าไม่ได้จะเป็นลม แต่ไม่ค่อยมีแรง แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ถามต่อว่าจะไปไหน ตนเองก็บอกว่าจะไปธนาคารออมสินเพื่อไปกดเงิน แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ได้ถามป้าว่าทำไมไม่กดที่นี่ ตนเองก็บอกว่าทำไม่เป็น แล้วผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าจะช่วยทำให้

จากนั้นก็ช่วยประคองคุณป้าเดินกลับไปที่ตู้เอทีเอ็ม หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาย่านตาขาว แล้วขอบัตรเอทีเอ็ม และขอรหัส แล้วผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าเงินเข้าแล้ว มีอยู่ 5,050.45 บาท ซึ่งตนเองก็ยืนดูอยู่ด้วย และเห็นกับตาว่าเงินเข้าแล้วจริงๆ ก็ดีใจ ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ถามว่าจะกดทั้งหมดหรือไม่ ตนเองก็บอกว่ากดทั้งหมด จะเอาไปจ่ายค่าเช่าบ้าน แล้วผู้หญิงคนดังกล่าวก็กดต่อไป แต่บอกตนว่าเงินไม่ออก จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็กดอีกเป็นครั้งที่ 2 แล้วบอกตนซ้ำว่าเงินไม่ออกอีก ตนเองจึงบอกว่างั้นเอาบัตรออกมา เพราะกลัวตู้จะกลืนบัตร ผู้หญิงคนนั้นก็ยื่นบัตรให้ตนเอง เมื่อตนเองได้บัตรก็เอาใส่กระเป๋า แล้วเดินออกจากหน้าตู้เอทีเอ็ม แต่ผู้หญิงคนดังกล่าวยังยืนอยู่หน้าตู้ ซึ่งตอนนั้นตนเองรู้สึกดีใจว่ามีเงินเข้าในบัญชีแล้ว จึงได้โบกรถไปที่ธนาคารออมสิน สาขาย่านตาขาว


ทั้งนี้ เมื่อคุณป้าไปถึงธนาคารออมสิน ก็มีพนักงานเดินลงมาพอดี ตนเองจึงขอให้ช่วยกดบัตร ทางพนักงานก็ช่วยดำเนินการกดให้ และให้ตนเองยืนอยู่ใกล้ๆ แต่เมื่อกดดูเงินในบัญชี มีเหลืออยู่ 50.45 บาทเท่านั้น ตนองก็แปลกใจว่าทำไม ห่างกันไม่ถึง 5 นาทีแท้ๆ เพราะตอนกดดูที่ธนาคารกรุงเทพ ยังมีเงินอยู่ 5,050.45 บาท พนักงานก็บอกว่าไม่ทราบ แต่ตอนนี้ไม่มีเงินเข้ามา ตนเองก็เสียใจ และเข่าทรุดเลย เพราะไม่มีเงินไปจ่ายค่าเช่าบ้านแล้ว เมื่อนำสมุดบัญชีไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสิน ได้รับคำตอบว่าเงินถูกกดออกจากตู้เอทีเอ็ม ธนาคารกรุงเทพ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม เวลา 09.40 น. จึงเชื่อว่าเป็นฝีมือของผู้หญิงคนดังกล่าวแน่นอน

จากนั้นคุณป้าจึงเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.สมพงษ์ ปานเหลือง รอง ผกก.สส.สภ.ย่านตาขาว โดยได้สอบปากคำ พร้อมนำตัวไปชี้จุดเกิดเหตุ ร่วมกับชุดสืบสวน เพื่อเตรียมไล่ดูกล้องวงจรปิดจากธนาคารกรุงเทพ และบริเวณร้านค้าใกล้เคียง เพื่อติดตามหาตัวหญิงสาวรายนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ขณะที่ นางละมุล ยังคงเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยบอกว่าเดิมทีตนเองประกอบอาชีพรับจ้างนวด แต่มาเจอผลกระทบจากโควิด-19 และเรี่ยวแรงไม่ค่อยมี จึงไม่ค่อยได้ทำงาน ตลอด 1-2 เดือนที่ผ่านมาใช้เงินผู้สูงอายุ และบัตรประชารัฐ พร้อมทั้งหวังว่าจะได้เงินเยียวยา 5,000 บาท แต่กลับต้องมาสูญหายไปทั้งหมด



ด้าน นางใจดาว วงศ์ศิลา ลูกสาวของนางละมุล กล่าวว่า สงสารแม่มาก เพราะแม่รอคอยเงินเยียวยาที่จะเข้ามารอบนี้ทุกวัน และให้ลูกหลานคอยเช็กทุกวัน เพราะหวังจะเอาไปจ่ายค่าเช่าบ้าน แต่พอเงินหายไปก็มานั่งเสียใจ ร้องไห้ทุกวัน แต่ทุกคนก็บอกว่าให้รอวันที่ 15 พฤษภาคม เพราะเขาแจ้งว่าเงินจะเยียวยาจะเข้าอีกรอบ ซึ่งเงินอาจจะเข้ารอบนี้ก็ได้ และเรื่องจึงมาแดงในวันนี้ เพราะแม่และน้องชาย รวมทั้งน้องสะใภ้ พาสมุดไปอัปด้วยกันที่ธนาคาร จึงรู้ว่าเงินไม่มีแล้ว แม่ร้องไห้และบอกจะฆ่าตัวตายเลย ตนเองไปขายขนมขับรถไปไม่ค่อยถูกด้วยความเป็นห่วงแม่ว่ามีคนลักเงินแกไปแล้ว จึงขอให้ตำรวจช่วยติดตามเงินคืนมาให้แม่ด้วย

สำหรับผู้ที่อยากร่วมบริจาคช่วยเหลือเยียวยาคุณป้ารายนี้ สามารถติดต่อได้ที่ธนาคารออมสิน สาขาย่านตาขาว ชื่อบัญชี นางละมุล ศรีวุ่น หมายเลขบัญชี 0202-6469-3183











    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ผู้จัดการออนไลน์

    แสดงความคิดเห็น

    ใหม่กว่า เก่ากว่า