หวั่นกระทบพะยูน! พบ “หญ้าทะเล” เน่าตายเป็นบริเวณกว้างในเขตห้ามล่าฯ หมู่เกาะลิบง


 พบ “หญ้าทะเล” เน่าตายเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะบริเวณหน้าเกาะนก-แหลมจุโหย ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จ.ตรัง ทำให้สัตว์น้ำทะเลลดลงอย่างมาก หวั่นกระทบต่อ “พะยูน” และระบบนิเวศต่างๆ


ตัวแทนเครือข่ายประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัดตรัง นำโดย นายแสวง ขุนอาจ นางแช่ม เพ็ชรจันทร์ และนายสุเวทย์ เกตุแก้ว ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบ “แหล่งหญ้าทะเล” บริเวณหน้าแหลมจุโหย ภายในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง เพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่แหล่งหญ้าทะเลผืนใหญ่ และเป็นถิ่นอาศัยของพะยูนฝูงใหญ่ของ จ.ตรัง ที่มีประมาณ 180 ตัว หลังพบว่าหญ้าทะเลเน่าตายเป็นบริเวณกว้าง เพื่อตรวจจับพิกัดค่าจีพีเอสประมาณพื้นที่ความเสียหายที่ชัดเจน

โดยสาเหตุทางชาวบ้าน และเครือข่ายประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง เชื่อว่าเกิดจากการขุดลอกร่องน้ำบริเวณปากแม่น้ำตรังของกรมเจ้าท่า เพราะมีการนำตะกอนดินที่ได้จากการขุดลอกร่องน้ำไปทิ้งในทะเล ซึ่งอยู่ห่างจากจุดแหล่งหญ้าทะเลประมาณ 2-3 กิโลเมตร แต่ถูกกระแสคลื่นลมซัดเอาตะกอนดินดังกล่าวเข้ามาทับถม จนเป็นเหตุให้หญ้าทะเลเน่าตาย โล่งเตียนเป็นบริเวณกว้าง ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปตรวจสอบดูใกล้ๆ และเดินย่ำ พบตะกอนดินซึ่งไม่มีหญ้า และมีแต่ตะกอนดินทับถมอย่างหนาแน่นจนเป็นดินโคลน โดยเฉพาะพื้นที่นับจากบริเวณหน้าเกาะนก-แหลมจุโหย เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง และสภาพปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรุนแรงมาตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน


นายสุเวทย์ เกตุแก้ว และนางแช่ม เพ็ชรจันทร์ ตัวแทนชมรมประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง กล่าวว่า นับจากบริเวณเกาะนกมาถึงบริเวณแหลมจุโหย ชาวประมงพื้นบ้านทั้งจากเกาะมุก และเกาะลิบง เคยนำสภาพปัญหาดังกล่าวมาพูดคุยกันในการประชุมชมรมประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง มาตั้งแต่ปี 2561 ว่าถ้ามีการขุดลอกปากแม่น้ำตรัง และถ้ามีการขนย้ายตะกอนดินไปทิ้ง เชื่อว่าจะกระทบหญ้าทะเลอย่างแน่นอน แต่ไม่มีความคืบหน้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากนั้นเมื่อต้นปี 2562 ก็เริ่มพบตะกอนดินทับถมหญ้าทะเลบริเวณรอบนอกประมาณ 200 ไร่ แต่พอปลายปี 2562 พบว่าหญ้าทะเลเสียหายเป็นบริเวณกว้างมากยิ่งขึ้นจนถึงบริเวณนี้ จึงนำเข้าหารือในที่ประชุมชมรมประมงพื้นบ้านจังหวัดตรังอีกครั้ง และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้ เพื่อให้มีหน้าที่โดยตรงในการดูแลหญ้าทะเล ซึ่งมีความสำคัญมากกับระบบนิเวศทางทะเล เพราะเป็นแหล่งวางไข่ แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำทะเล และที่สำคัญ หญ้าทะเลเป็นอาหารของพะยูน

โดยเฉพาะในปีนี้ยิ่งพบหญ้าทะเลตายลามมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นความหายนะ เพราะมองออกไปเตียนโล่ง ไม่มีหญ้าทะเลเหลือ หรือทำสนามกอล์ฟได้เลย เชื่อว่าประมาณด้วยสายตาจะมีความเสียหายนับ 1,000 ไร่ ซึ่งหญ้าทะเลที่ตายดังกล่าวจะทำให้สัตว์น้ำทะเลสูญหาย ทั้งหอยหวาน หอยชักตีน ปูม้า กุ้ง ปลิงทะเล เพราะขณะนี้ชาวบ้านจับไม่ได้เลย โดยเฉพาะหอยชักตีน ที่ปกติในช่วงน้ำลดชาวบ้านจะออกมาเดินหาเก็บได้เป็นจำนวนมาก วันละนับ 10 กิโลกรัมต่อคน แต่ขณะนี้เหลือประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อคนเท่านั้น ส่วนสัตว์น้ำอื่นๆ ก็ร่อยหรอลงไปอย่างมากเช่นกัน ทำให้ชาวบ้านที่เคยหากินจากความอุดมสมบูรณ์ของทะเลได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก


นายแสวง ขุนอาจ อีกหนึ่งในตัวแทนชมรมประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง กล่าวว่า จากการลงพื้นที่มาตรวจสอบก่อนหน้านี้แล้ว 2 ครั้ง เชื่อว่าสาเหตุหลักของปัญหาหญ้าทะเลตายเป็นวงกว้างเกิดจาก 3 ปัจจัยคือ ปัญหาการขุดลอกร่องน้ำของกรมเจ้าท่า ปัญหากระแสน้ำที่เปลี่ยนทิศ และปัญหามลพิษทางน้ำ เช่น สารตะกั่ว สารปรอท สารไมโครพลาสติก ซึ่งเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นรุนแรงมากกับท้องทะเลตรัง จากที่เดิมเคยอุดมสมบูรณ์ด้วยหญ้าทะเล และสัตว์น้ำนานาชนิด ซึ่งในอนาคตอาจกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพะยูนตรังที่มีอยู่เกือบ 200 ตัว และกระทบต่อแผนพะยูนแห่งชาติ ที่ทางจังหวัดพยายามจะผลักดันให้เกิดขึ้น เพราะการเกิดแผนพะยูนแห่งชาติภายใต้ทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์นั้น จะเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร อาชีพ และวิถีชีวิตชุมชน

จากนั้นคณะตัวแทนเครือข่ายประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัดตรัง ยังได้เดินทางไปตรวจสอบสภาพพื้นที่บริเวณอ่าวมดตะนอย-บ้านหาดยาว ต.เกาะลิบง ซึ่งอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบงเช่นกัน รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งหญ้าทะเลผืนใหญ่ และเป็นแหล่งหากินของพะยูนด้วย แต่พบว่าหญ้าทะเลยังคงอุดมสมบูรณ์สีเขียวเต็มพื้นที่ เนื่องจากตะกอนดินดังกล่าวพัดเข้ามาไม่ถึงพื้นที่แหล่งหญ้าทะเลด้านใน ทำให้ในช่วงน้ำทะเลลงชาวบ้านจะออกมาหาหอยกันเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้จัดเก็บข้อมูล พร้อมกับค่าพิกัดจีพีเอสเพื่อนำไปศึกษาเปรียบเทียบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับแหล่งหญ้าทะเลที่อยู่บริเวณด้านนอกที่เสียหายดังกล่าว





ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ผู้จัดการออนไลน์

แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า