“ตรัง” ประเดิมปลูก “กัญชา” ทางการแพทย์ครั้งแรก เล็งศึกษาต่อยอดปลูกครัวละ 6 ต้น


 “ตรัง” ประเดิมปลูก “กัญชา” ทางการแพทย์ครั้งแรก วิสาหกิจชุมชนน้ำผุดนำกล้าลงดิน 50 ต้น เล็งศึกษาโนนมาลัยโมเดล จ.บุรีรัมย์ ต่อยอดปลูกครัวละ 6 ต้น ด้านประธานกัญชาตรังผุดโครงการแจกน้ำมันกัญชาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย 86 รายได้ผล


วานนี้ (6 พ.ค.) ที่แปลงกัญชาทางการแพทย์ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์จังหวัดตรัง หมู่ 8 ต.น้ำผุด อ.เมือง จ.ตรัง ผู้แทนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลน้ำผุด ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์จังหวัดตรัง ได้ร่วมกันปลูกต้นกล้ากัญชา อายุ 1 เดือน เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เป็นที่แรกใน จ.ตรัง ตามนโยบายของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ภายหลังเตรียมการมากว่า 1 ปี ตั้งแต่การขออนุญาตจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ตลอดจนก่อสร้างโรงเรือนตามแบบมาตรฐาน รับเมล็ดมาเพาะต้นกล้าอายุ 1 เดือน ก่อนนำไปปลูกในโรงเรือนตามระบบควบคุม โดยแปลงกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์จังหวัดตรัง เป็น 1 ในจำนวน 4 แปลงของ จ.ตรัง ที่ได้รับอนุญาตปลูกถูกต้องตามกฎหมาย

นายศิววงศ์ นวลสุวรรณ ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์จังหวัดตรัง กล่าวว่า นับว่าเป็นการเริ่มต้นการปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เป็นครั้งแรก ซึ่งการเตรียมการที่ผ่านมา เกิดจากความต้องการ และความสนใจของสมาชิก ซึ่งเป็นชาวบ้านที่ประกอบอาชีพเกษตรกรในชุมชนในการปลูกกัญชาเพื่อการใช้รักษาโรค และใช้ทำเป็นอาหาร ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาของคนไทย และมีข้อมูลยืนยันทางวิชาการรองรับว่า กัญชามีผลดีต่อสุขภาพ และรักษาบรรเทาโรคได้ ทางวิสาหกิจฯ จึงได้ติดต่อปรึกษาหารือ จนกระทั่งมีการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลน้ำผุด ศึกษาข้อมูล จัดทำเอกสารคำขอ จนได้รับใบอนุญาตจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ให้สามารถปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้บนแปลง จำนวน 50 ต้น


นายศิววงศ์ กล่าวอีกว่า ด้านผลผลิต ช่อดอก เมื่ออายุราว 4 เดือน การเก็บเกี่ยวจะต้องทำตามระเบียบ คือ ส่งจำหน่ายให้กรมการแพทย์ ผ่านโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลเท่านั้น โดยราคากลางที่ประกาศสำหรับช่อดอกเกรด A อยู่ที่กิโลกรัมละ 45,000 บาท ส่วนช่อดอกเกรดรองลงมาราคาลดหลั่นกันไป ส่วนจำพวกใบ กิ่ง ก้าน ราก ทางวิสาหกิจฯ สามารถจำหน่ายได้เอง สำหรับผู้ประสงค์ซื้อไปประกอบอาหารตามกฎกระทรวงสาธารณสุขที่ระบุไว้ โดยราคาใบกัญชาในปัจจุบัน เฉลี่ยที่กิโลกรัมละ 15,000-20,000 บาท โดยส่วนของรากจะมีราคาแพงสุด โดยหลังจากนี้ราว 2 เดือน จะมีการตัดแต่งต้น และสามารถจำหน่ายใบกัญชาที่ตัดแต่งออกได้โดยมีใบส่งมอบถูกต้องตามกฎหมาย

“หลังจากนี้ ทางกลุ่มจะศึกษาเรียนรู้เรื่องกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ต่อไป โดยจะประสานงานกับกลุ่มอื่นๆ ที่ได้รับใบอนุญาตในด้านองค์ความรู้ต่างๆ เช่น หลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์จากกัญชาที่กรมการแพทย์แผนไทยมีการประกาศออกมาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะโมเดลของการขยายต่อยอดให้แก่สมาชิกวิสาหกิจฯ ให้สามารถปลูกกัญชาได้ครอบครัวละ 6 ต้น ซึ่งมีต้นแบบมาจากวิสาหกิจฯ ในพื้นที่บ้านโนนมาลัย ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งวิสาหกิจฯ ที่นั่นได้ทำความร่วมมือกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพในพื้นที่ และสามารถปลูกครอบครัวละ 6 ต้นได้แล้ว โดยหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จะได้มีการเดินทางเพื่อศึกษาดูงานต่อไป” นายศิววงศ์ กล่าว


ด้านนายเนติวิทย์ ขาวดี ประธานสภากัญชาแห่งประเทศไทยประจำจังหวัดตรัง และประธานคณะกรรมการสมาคมส่งเสริมพืชเศรษฐกิจไทยจังหวัดตรัง (กัญชา และกัญชง) กล่าวว่า ขณะนี้ความคืบหน้าเรื่องการปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ในพื้นที่ จ.ตรัง มีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ และถือเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับการลงมือปลูกครั้งแรก สำหรับแปลงกัญชาทางการแพทย์ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรที่มีความตั้งใจในการดำเนินการศึกษาเพื่อใช้กัญชาในการรักษาโรค และต่อยอดพัฒนาภูมิปัญญา สำหรับอีก 3 แปลงในพื้นที่ จ.ตรัง ที่กำลังจะเริ่มปลูกเร็วๆ นี้ ได้แก่ แปลง ต.บ้านควน อ.เมืองตรัง แปลง ต.เขาพระวิเศษ และแปลง ต.อ่าวตง อ.วังวิเศษ

นายเนติวิทย์ กล่าวต่อว่า เดิม จ.ตรัง เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ประชาชนมีความสนใจในพืชกัญชาเพื่อรักษาโรค กระทั่งเกิดกระแสว่ากัญชาสามารถรักษาได้หลายโรค โดยเฉพาะโรคร้ายสำคัญ เช่น โรคมะเร็ง จึงเกิดความตื่นตัวในการใช้น้ำมันกัญชา หรือนำใบกัญชามาต้มดื่มเป็นยา สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนเครือข่ายภาคประชาชนใน จ.ตรัง จึงเกิดการรวมตัวกันในเรื่องนี้ โดยได้ยื่นขออนุญาตปลูกกัญชาใน 4 แปลง ซึ่งได้รับอนุญาตทั้งหมด สำหรับระยะต่อไปจะเป็นเรื่องของพืชกัญชง ซึ่งได้รับความสนใจ มีผู้เตรียมยื่นขออนุญาตปลูกจำนวนหลายราย

“เรื่องกัญชารักษาโรค ผมได้ศึกษามานาน พบว่าทั่วโลกมีหลายหมื่นงานวิจัยรองรับ โดยเฉพาะโรคร้ายอย่างโรคมะเร็ง ผมไปงานศพ และสอบถามว่าเสียชีวิตด้วยโรคใด พบว่าปัจจุบัน 60-70% เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ก็คิดในใจว่าถ้าไม่ตายด้วยโรคนี้จะได้ไหม จึงได้ทำโครงการเยี่ยมผู้ป่วยมะเร็งระยุสุดท้าย ชื่อโครงการร่วมต่อลมหายใจให้กับเพื่อนมนุษย์ ผมเป็นข้าราชการบำนาญ เงินเดือนได้มาโดยไม่ทำอะไร ก็เอาเงินส่วนนี้ไปซื้อน้ำมันกัญชาไปแจกให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ร่วมกับ นพ.จำรัส สรพิพัฒน์ แจกไปแล้ว 86 ราย ในพื้นที่ จ.ตรัง โดยภายหลังแจกได้ติดตามประเมินผล พบว่า อาการผู้ป่วยดีขึ้นประมาณ 70% ในระยะ 6 เดือน” นายเนติวิทย์ กล่าว











    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ผู้จัดการออนไลน์

    แสดงความคิดเห็น

    ใหม่กว่า เก่ากว่า